เนื่องจากPhotoelectric Sensorสามารถประยุกต์ใช้ได้ในการใช้งานหลากหลายประเภท อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นให้เลือกใช้มาก การจะเลือกเซ็นเซอร์จึงต้องคำนึงสิ่งดังต่อไปนี้
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการเลือกใช้งานของเซ็นเซอร์ โดยเซ็นเซอร์แต่ละตัวนั้นจะมีคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกัน และ สามารถตรวจจับวัตถุได้ไม่เหมือนกัน เช่น ชิ้นงานขนาดเล็กที่สุดที่สามารถตรวจจับได้ หรือ แม้กระทั่งรูปทรง และ ชนิดของวัตถุว่าเป็นแบบทึบแสง หรือ แบบโปร่งแสง จากตัวอย่างที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า การเลือกใช้เซ็นเซอร์ให้ตรงกับประเภทของชิ้นงานนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ระยะการทำงานของเซ็นเซอร์นั้น จะขึ้นอยู่กับโหมดการทำงานของเซ็นเซอร์ และ ประเภทของแหล่งกำเนิดแสง ว่าเป็นประเภทใด แต่โดยปกติแล้วตัวเซ็นเซอร์ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดก็จะมีระยะในการตรวจจับได้ตั้งแต่ 0 - 200 m ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งาน
รูปแบบ Housing ของเซ็นเซอร์ ในส่วนนี้ไม่ได้มีผลต่อความเที่ยงตรง หรือ ระยะในการตรวจจับสักเท่าไร แต่จะเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้การใช้งานตัวเซ็นเซอร์มีประสิทธิภาพหรือเพิ่มความรวดเร็วให้ได้มากขึ้น เช่น ตัวเซ็นเซอร์ที่มีลักษณะทรงกระบอกM18ซึ่งสามารถติดตั้งได้ง่ายเพียงแค่เจาะรูยึดเท่านั้น แต่สำหรับบางงานที่มีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ในการติดตั้งก็จะใช้ตัวเซ็นเซอร์ที่มีขนาดเล็กเพื่อให้สามารถซ่อนตัวเซ็นเซอร์ไว้ได้ ตามจุดต่างๆที่ต้องการ
การเลือกใช้งานแหล่งจ่ายไฟเลี้ยงสำหรับตัวเซ็นเซอร์นั้น จะขึ้นอยู่กับหน้างาน และ ตัวควบคุมที่รับสัญญาณจากตัวเซ็นเซอร์ ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ คอนโทรลเลอร์เป็นพวก PLC, Counter, Timer, Pulse Meter ก็จะใช้แหล่งจ่ายไฟชนิด DC 10-30V ซึ่งมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากกว่า แต่ถ้าโหลดเป็นอุปกรณ์ที่เป็น AC เช่น Coil AC 220VAC ก็สามารถใช้เซ็นเซอร์ที่ใช้แหล่งจ่ายไฟแบบ AC 220V ได้เช่นกัน แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการต่อสายให้ถูกต้อง
หลายครั้งมักมีคำถามว่าจะใช้เซ็นเซอร์ที่มีสัญญาณเอาท์พุตแบบNPNหรือPNP หรือบางครั้งจะมีผู้ใช้งานบางส่วนเรียก common + หรือ common - ซึ่งจริงๆ แล้ว NPN นั้นก็คือ common - และ PNP นั้นก็คือ common +
โดยเราจะเลือกใช้กันตามตัววงจรที่เราได้ต่อว่ามี Common แบบไหนนั่นเอง ในเซ็นเซอร์บางรุ่นที่ออกแบบมาให้สามารถต่อสัญญาณเอาท์พุตเข้ากับโหลดทางไฟฟ้าได้เลย ก็จะให้สัญญาณเอาท์พุทเป็นแบบหน้าคอนแท็ค ที่สามารถทนโหลดกระแสได้สูง
ประเภทที่มีสายในตัวและแบบที่ใช้คอนเน็คเตอร์ ชนิดของสายนั้นจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ในการติดตั้ง ว่ามีสภาวะแวดล้อมเป็นแบบใด มีน้ำมัน หรือ สารระเหยที่มีผลต่อวัสดุที่ใช้นำมาทำสายไฟหรือไม่ โดยวัสดุมาตรฐานที่ใช้ทำสายไฟก็จะเป็นแบบ PVC แต่ถ้าต้องการความทานมากขึ้นก็จะใช้เป็นแบบ PU สำหรับรุ่นที่เป็น Connector ก็จะมีโครงสร้าง หรือ วัสดุเป็นแบบเดียวกับสาย เพียงแต่จะใช้ Connector ขนาด M8 หรือ M12 ต่อกับตัว Photoelectric sensor แทน เพื่อให้ง่ายต่อการติดตั้งและบำรุงรักษา
คือรูปแบบการทำงานของตัวเซ็นเซอร์ที่ระบุว่า จะให้เริ่มทำงาน และ มีสัญญาณเอาท์พุตเมื่อไร เช่น ในสภาวะปกติที่ยังไม่มีวัตถุตัดผ่าน แลัวตัวรับ Receiver สามารถรับสัญญาณจากตัวส่ง Emitter ได้ เราจะเรียกรูปแบบนี้ว่าเป็น Dark On หรือ เมื่อมืดแล้วติด ในทางตรงกันข้ามถ้าในสภาวะปกติที่ยังไม่มีวัตถุตัดผ่านแลัวตัวรับ Receiver ไม่สามารถรับสัญญาณจากตัวส่ง Emitter ได้ เราจะเรียกรูปแบบนี้ว่าเป็น Light On หรือเมื่อสว่างแล้วติด ซึ่งการเลือกไปใช้งานก็ขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นที่ต้องการ
เป็นมาตรฐานที่บ่งชี้ถึงระดับการป้องกัน น้ำ และ ฝุ่น ของตัวเซ็นเซอร์ แต่โดยปกติตัว Proximity Sensor ในปัจจุบัน จะมีค่า IP67 อยู่แล้ว ซึ่งเป็นค่าที่สามารถทนต่อฝุ่นและนํ้าในการใช้งานปกติได้อย่างสบาย
แต่สำหรับงานที่ต้องการใช้งานตัวเซ็นเซอร์ในสภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายนั้น จำเป็นจะต้องมีเซ็นเซอร์รุ่น พิเศษ ที่มี IP สูงกว่านี้
ที่มา :
https://www.factomart.com/th/factomartblog/how-to-select-a-photoelectric-sensor/